วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อุปกรณ์การเลี้ยง การเพาะพันธุ์ และการลงทุน


อุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยงปลากัด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
      1. อุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน ถ้าหากท่านจะเลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน และเพื่อเป็นการผ่อนคลาย การเตรียมอุปกรณ์คงเป็นไปตามความจำเป็น และตามกำลังทรัพย์ของแต่ละท่านอีกทั้งยังขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่จะเลี้ยง เช่น เลี้ยงเล่น ๆ สัก 1 - 50 ตัว การเตรียมอุปกรณ์ก็คงไม่ยุ่งยากอะไรมากนัก สามารถหาหยิบยืมได้ใกล้ ๆ ตัวในบ้าน อุปกรณ์โดยทั่วไปมีดังนี้
1. ขวด หรือเหลี่ยมกระจก ขนาด 4x4x8 นิ้วขึ้นไป สำหรับปลากัดทั่ว ๆ ไป (ปลากัดยักษ์ 8x8x12 นิ้ว)2. ชั้นสำหรับวางปลากัด (ถ้ามีปลาจำนวนมาก ๆ )3. ที่ตักปลากัด4. แผ่นสำหรับกั้นเพื่อบังเหลี่ยมปลา5. สายยางสำหรับถ่ายน้ำ ขนาด 0.5 นิ้ว ความยาว 3 - 4 เมตร (หรือตามต้องการ)6. เกลือทะเล (เพื่อเพิ่มธาตุอาหารในน้ำ)7. อาหาร (ถ้าเป็นอาหารสดก่อนให้กินทุกครั้ง ควรทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรค)หมายเหตุ อุปกรณ์เพียงแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเริ่มต้นการเลี้ยงแล้วครับ

     2. อุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงเพื่อการจำหน่าย ถ้าท่านจะเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพหลัก หรืออาชีพเสริม ก็คงต้องมีการเตรียมตัวก่อน เช่น สถานที่มีขนาดที่เหมาะสมกับจำนวนปลาที่ต้องการผลิต ถ้าเลี้ยงน้อยเรื่องสถานที่คงไม่เป็นปัญหา เพราะการเลี้ยงปลากัดใช้เนื้อที่ในการเลี้ยงไม่มากนักขึ้นอยู่กับประเภทของปลากัดที่จะเลี้ยงด้วยเช่น ถ้าเป็นปลากัดหม้อเลี้ยงรวมในรองปูนขนาด 1 ม. สูง 40 ซม. ใช้เวลาเลี้ยง 5 - 6 เดือน ก่อนแยกเลี้ยงเพื่อชำ ขุนขาย บ่อขนาด 1 ม. เลี้ยงได้ประมาณ 100 - 200 ตัว ถ้าเป็นปลากัดป่าอาจเลี้ยงรวมได้ถึง 300 ตัว แต่ถ้าเลี้ยงปลากัดครีบยาวจำเป็นต้องแยกเลี้ยงก่อนอายุ 30 - 45 วัน ไม่เช่นนั้นปลาจะกัดกัน หางจะเสียหมด และจำหน่ายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีที่ดิน เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงเพื่อการแยกขุน โดยจะแยกขุน และเลี้ยงขุนไปจนถึงอายุ 120 - 150 วัน จึงทำการจำหน่าย ถ้าเป็นปลากัดหางพู่กันจีนจะเลี้ยงแยกขุนในแบนเหล้า แต่ถ้าเป็นปลากัดครีบยาวคุณภาพ เช่น คราวเทล หรือฮาร์ฟมูน ควรใช้เหลี่ยมขนาด 4x4x8 นิ้วเป็นอย่างน้อย
อุปกรณ์ที่เพิ่มเติมจากข้อแรก


1. บ่อ หรือรองปูนสำหรับเลี้ยงรวมมีหลายขนาดกว้าง 80 ซม., 1.00 ม., 1.20 ม. สูง 40 ซม. เหมาะสำหรับผู้ที่มีทีดิน เลี้ยงในสนาม ส่วนผู้ที่เลี้ยงในบ้าน หรือตึกแถวให้ใช้อ่างพลาสติก (อ่างผสมปูน) จะดีกว่า เพราะน้ำหนักเบาจัดเก็บง่าย ขนย้ายสะดวก ทำความสะอาดได้ง่าย แต่ต้นทุนจะสูงกว่าผลการเลี้ยงได้ผลเท่า ๆ กัน2. ตุ่ม กระถาง อ่าง หรือถังน้ำดื่ม สำหรับขุนปลาขนาด 12x12x12 นิ้ว เป็นอย่างน้อย เฉพาะใช้เลี้ยงขุนปลากัดยักษ์ อายุ 2 - 8 เดือน3. กระเบี้องหลังคา สำหรับการกันปลากระโดด กันฝน กันแดด กันใบไม้ ปลากัดมักไม่ชอบแสงแดดจัดมาก ๆ และน้ำที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 38 องศา จึงจำเป็นต้องพรางแสงแดด และป้องกันอุณหภูมิของน้ำที่อาจสูงเกินไป ถ้าได้รับแสงแดดโดยตรง

     การเลี้ยง เนื่องจากปลากัดเป็นปลาพื้นบ้านของไทย จึงมีความเหมาะสมที่สุด ทึจะเพาะเลี้ยง เพราะคุ้นเคยกับอุณหภูมิ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศ ปลากัดมีความแข็งแรง มีความอดทนสูง มีโรคน้อยกว่า ปลาชนิดอื่น ๆ กินอาหารได้หลายประเภท ไม่ต้องใช้เครื่องเติมอากาศ ช่วยในการหายใจ เนื่องจากปลากัดเองหายใจได้ 3 ระบบ คือ 
1. ใช้ปากฮุบเอาอากาศ2. ว่ายโดยใช้เหงือกกรองอากาศ3. ใช้มูก หรือจมูกหายใจ
     จึงทำให้ประหยัดไฟฟ้า และทำให้ต้นทุนในการเพาะเลี้ยงต่ำกว่าปลาประเภทอื่น ๆ อีกยังเป็นการลงทุนแบบระยะสั้น แต่ให้ผลผลิต และผลประโยชน์ตอบแทนแบบระยะยาวใช้เวลาเลี้ยง 4 - 8 เดือนก็จำหน่ายได้ การเลี้ยง และการดูแลแบ่งออกเป็นหลัก ๆ ได้ดังนี้
     1. การให้อาหาร ให้แต่ละครั้งควรให้อิ่มพอดี ให้น้อย ๆ แต่ให้บ่อย ๆ การอาหารมากเกินไป จะทำให้มีอาหารเหลือตกค้าง ทำให้น้ำเสียเร็วเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ซึ่งทำให้ต้องถ่ายน้ำบ่อย ๆ เปลืองทั้งเวลา แรงงาน น้ำ อาหาร และยา จึงทำให้ต้นทุนในการเพาะเลี้ยงสูงขึ้น โดยไม่จำเป็น การให้อาหารปลากัดแบ่งได้ดังนี้
อายุ 0 - 5 วัน ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเลยอายุ 5 - 30 วัน การให้อาหาร 2 มื้อ เช้า - เย็นกลุ่มอาหารที่ให้ เช่น โรติเฟอร์ พารามิเซียม อาร์ทีเมียกรอง ไรแดงกรอง ไข่ตุ๋น อาหารผง ADP ฯลฯอายุ 31 - 45 วัน การให้อาหาร 2 มื้อ เช้า - เย็นกลุ่มอาหารที่ให้ เช่น ลูกน้ำ หนอนแดง ไรทะเล (อาร์ทีเมีย) ไรแดง ไส้เดือนน้ำ เนื้อกุ้ง เนื้อหอย เนื้อปลา อาหารเม็ด ฯลฯอายุ 45 - 180 วัน การให้อาหาร 2 มื้อ เช้า - เย็นอายุ 180 วันขึ้นไป 1 มื้อ เช้า หรือเย็น
กลุ่มอาหารที่ให้ เช่น ลูกน้ำ หนอนแดง ไรทะเล (อาร์ทีเมีย) ไรแดง ไส้เดือนน้ำ เนื้อกุ้ง เนื้อหอย เนื้อปลา อาหารเม็ด ฯลฯ

     2. การเปลี่ยนถ่ายน้ำ ปลากัดอายุ 0 -45 วันแรก ไม่ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำ แต่ถ้าหากจำเป็นจริง ๆ เพาะมีอาหารตกค้างมาก ควรใช้สายยางดูดเศษอาหารที่ก้นอ่างออก อย่าถ่ายน้ำออกทีเดียวทั้งหมด เพราะลูกปลาอาจปรับตัวไม่ทัน จากความแตกต่าง การเปลี่ยนเปลงของอุณหภูมิ อาจทำให้เกิดอาการช็อคน้ำตายได้ ปลากัดอายุเกิน 45 วันขึ้นไป แยกเลี้ยงขุนบนเหลี่ยม ควรใช้สายยางถ่ายน้ำ 10 เปอร์เซ็นต์ออกทุก ๆ วัน และ 5 - 7 วัน ควรทำความสะอาดเหลี่ยมใหม่ ด้วยการล้าง ฆ่าเชื้อ ตากแดดสัก 2 วัน ถ้าเลี้ยงในรองปูนทุก 3 - 5 วัน ควรใช้สายยางค่อย ๆ ดูดตะกอนก้นอ่างออก 10 - 20 เปอร์เซ็นต์ อย่ากวนปลา การถ่ายน้ำแบบกะทันหันที่เดียวทั้งหมด ปลาอาจตื่น คึก น้ำใหม่ และกัดกันตายทำให้ผลผลิตเสียหายได้
     การดูความพร้อมของพ่อพันธุ์ อายุที่เหมาะสมที่จะใช้ในการขยายพันธุ์ คือ 6 - 14 เดือน โดยดูจากลักษณะดังนี้1. การก่อหวอด ถ้าก่อหวอดดีบ่งบอกถึงความพร้อม และความสมบูรณ์ของพ่อพันธุ์2. ขอบเหงือก จะมีสีแดงเข้มขึ้น (จะดูยากในปลาสีขาว, เหลือง, แดง และปลากัดป่าบางสายพันธุ์)3. ลักษณะของพ่อพันธุ์ที่ดีควรแข็งแรง ว่องไว ปราดเปรียว และฉลาด4. สุขภาพ ดี และปลอดโรค5. ขนาด ใหญ่ โครงสร้างดี6. ลายผีเสื้อ ปลากัดป่าควรมีลายผีเสื้อที่ครีบหลัง ลวดลายสวยงาม ชัดเจน

     การดูความพร้องของแม่พันธุ์ อายุที่เหมาะสมที่จะใช้ในการขยายพันธุ์ คือ 4 - 10 เดือน โดยดูจากลักษณะดังนี้1. ขอบเหงือก จะมีสีแดงเข้มขึ้น2. ลายชะโดมีขีดเป็นเส้นเกิดขึ้นเป็นแนวขวางข้างลำตัว3. จุดไข่นำใต้ท้องจะเปลี่ยนจากสีขาวใส เป็นขาวขุ่นขึ้น4. ท้องอูมเปล่ง เหมือนคนท้อง5. ลักษณะการว่ายน้ำจะเปลี่ยนเป็นว่ายหัวต่ำ ๆ หางชี้ขี้น6. ก่อหวอดเป็นเม็ดเล็ก ๆ แถวยาวเรียงที่ขอบเหลี่ยมแต่จะมีไม่มากเหมือนตัวผู้ก่อหวอด7. เมื่อนำเหลี่ยมตัวเมียเทียบกับเหลี่ยมตัวผู้จะแสดงอาการว่ายหาเคียงคู่ตัวผู้อยู่ตลอดเวลา

หมายเหตุ เมื่อดูลักษณะดังกล่าวครบแล้ว ทั้งพ่อ - แม่พันธุ์ ก็เตรียมอุปกรณ์สำหรับการผสมพันธุ์ได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีการเทียบปลาเลยก็สามารถผสมพันธุ์ได้ ในกรณีนี้เกิดจากการมีปลาที่มีจำนวนมาก และไม่ได้เทียบปลาไว้ หรือเพิ่งได้แม่พันธุ์ และพ่อพันธุ์มาใหม่ และสังเกตุเห็นความพร้อมดังกล่าวนี้
     การเทียบปลากัดจะมีข้อดี ดังนี้1. เป็นการกระตุ้นให้เกิดการเตรียมความพร้อม2. ทำให้ปลาคุ้นเคยกัน เวลารัดผสมพันธุ์จะเกิดความเสียหายน้อยกว่าการไม่เทียบปลา3. ระยะเวลาการเทียบปล 0 - 90 วัน ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของตัวเมีย ตัวผู้ และการรัดผสมพันธุ์ครั้งสุดท้ายห่างกันกับการผสมครั้งนี้นานเท่าใด

     อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเตรียมผสมพันธุ์1. อ่างพลาสติกขนาด 12 - 18 นิ้ว (กะละมังพลาสติก)2. ถาดพลาสติกขนาด 12 - 18 นิ้ว (จานพลาสติก)3. ใบตองแห้ง (ใบกล้วยที่แห้งคาต้น) ฉีกเป็นเส้น ๆ ขนาด 1 - 2 ซม. จำนวน 10 - 15 เส้น4. ใบมะยมสด 1 - 2 ช่อ ยอดของใบ5. ใบโมกสด 1 - 2 ช่อ ยอดของใบ6. ด่างทับทิม (โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต kMn04) 10 เกล็ด7. เกลือทะเลเม็ด (ถ้าหากไม่มีเกลือทะเลทั่วไปแบบถุงละ 1 บาท ก็ใช้ได้)

     หมายเหตุ เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว นำข้อที่ 1 - 5 มาทำความสะอาดด้วยน้ำประปา เสร็จแล้วนำใบตองแห้ง ใบโมก ใส่ในอ่างพลาสติกที่จะใช้ เติมน้ำประปา แช่ด้วยด่างทับทิมที่เตรียมไว้ ให้น้ำออกเป็นสีม่วงอ่อน ๆ แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำประปา เติมน้ำประปาในอ่างพลาสติกสูงประมาณ 3 - 4 นิ้ว เติมเกลือประมาณ 1 ช้อนชา ใส่ใบตองแห้ง ใบโมก และทับซ้อนด้วยใบมะยมไว้ด้านบน ปิดอ่างด้วยถาดพลาสติก พักน้ำไว้ 1 - 3 วัน ก็พร้อมที่จะใช้เป็นเรือนหอของปลากัดคู่บ่าวสาวแล้วให้อาหารปลากัดคู่บ่าวสาวจนอิ่ม นำปลากัดคู่บ่าวสาวสู่เรือนหอ ตอน 6 โมงเย็น เที่ยงวันรุ่งขึ้นจึงค่อยเปิดดู หากพบว่าตัวผู้ไล่กัดตัวเมียให้ไปอยู่ขอบอ่างอีกด้านหนึ่ง และสังเกตว่ามีไข่เป็นเม็ด ๆ ประมาณ 300 - 1,000 ฟอง ทีหวอดของตัวผู้ แสดงว่าการผสมพันธุ์สำเร็จแล้ว ให้ตักตัวเมียขึ้นเป็นอันเสร็จพิธี ปล่อยตัวผู้ไว้ให้เป็นผู้ดูแลเฝ้า เก็บกลับไข่ ต่อมาอีก 48 ชม. ไข่จะเริ่มเป็นตัว ปล่อยให้ตัวผู้ดูแลต่อไปอีก 3 - 5 วัน โดยสังเกตุการว่ายน้ำของลูกปลาว่าว่ายน้ำเป็นแนวขนานกับพื้น และแสดงอาการการว่ายหาอาหารก็สามารถตักตัวผู้ออกได้ และนำลูกปลาไปทำการอนุบาลต่ออีก 7 - 10 วันในอ่างเดิม แล้วค่อยนำไปอนุบาลต่อในอ่างที่ใหญ่ขึ้นที่เตรียมไว้ โดยใส่น้ำในอ่างใหม่ที่เตรียมไว้สูงประมาณ 6 นิ้ว แช่อ่างเดิมลงไปในอ่างใหม่ที่เตรียมไว้ 1 ชม.จึงค่อยเทปล่อยลงในอ่างใหม่ และทำการอนุบาลต่อไป
หมายเหตุ ข้อดีของการใส่ใบตองแห้งคือการเรียนแบบธรรมชาติตามที่ปลากัดชอบอาศัยอยู่ ปลากัดกลุ่มก่อหวอดจะอาศัยอยู่แหล่งน้ำนิ่ง และมักมีซากพืชเน่า ย่อยสลายอยู่ จึงทำให้น้ำมีความเป็นกรดอ่อน ๆ มีค่าความเป็นกรด - ด่าง อยู่ประมาณ PH 6 - 6.5 ซึ่งทำให้เกิดสารแทนิน (Tanin) ที่ช่วยทำให้เป็นสภาวะที่ไม่เหมาะสม สำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเมื่อใบตองแห้ง ใบมะยมเริ่มเน่าครบ 7 วัน จะทำให้เกิดมีฝ้าขึ้นอ่อน ๆ บนผิวน้ำ อย่าตกใจ อย่าเปลี่ยนถ่ายน้ำ  นั่นคือ กลุ่มชีวิตขนาดเล็กที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ในกลุ่มพารามิเซียมที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นอาหารเสริมที่มีประโยชน์ สำหรับลูกปลา ส่วนใบโมกจะเน่ายาก และลอยอยู่เพื่อเป็นที่หลบพักของลูกปลา ท่านสามารถนำน้ำทั้งหมดใส่ลงในอ่างใหญ่ที่เตรียมไว้สำหรับอนุบาลต่อไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำเก่าที่มีอยู่ทิ้ง และหมั่นเติมน้ำใหม่เพิ่มวันละ 1 นิ้ว ต่อเนื่อง จนอยู่ที่อายุ 45 วันขึ้นไปค่อยเปลี่ยนถ่ายน้ำ
     การลงทุน ขึ้นอยู่กับความต้องการ กำลังทรัพย์ และความสามารถของแต่ละท่าน ราคาของอุปกรณ์ โดยทั่วไปราคาจะประมาณ ดังนี้1. เหลี่ยม 4x4x8 นิ้ว ราคา 30 - 35 บาท/ใบ เหลี่ยม 8x8x12 นิ้ว ราคา 100 บาท/ใบ2. อ่างพลาสติก 12 - 18 นิ้ว ราคา 15 - 25 บาท/ใบ3. ถาดพลาสติก 12 - 18 นิ้ว ราคา 10 - 15 บาท/ใบ4. บ่อ หรือรองปูน (ถังส้วม) ราคาประมาณ 80 ซม./90 - 120 บาท 1.00 ม./100 - 140 บาท 1.20 ม./120 - 180 บาท5. แผ่นปิดก้นถัง 80 ซม./60 - 80 บาท 1.00 ม./80 - 100 บาท 1.20 ม./90 - 120 บาท6. อ่างผสมปูนแบบพลาสติก ขนาด 90 x 110 สูง 30 ซม./450 - 500 บาท


                            การคัดเลือกปลากัด HM

การเลือกปลาเพศผู้ 
      1. ก้านหางขอบบนและล่างสุด ต้องเป็นเส้นตรง ไม่โค้งงอเข้าหากัน การทำปลา halfmoon หางจะต้องกาง ไม่น้อยกว่า 180 องศา ถ้าขอบหางโค้งเข้าหากัน จะไม่มีโอกาสกางถึง 180 องศา ระหว่างก้านหางและ 
ปลายหางต้องมีรัศมีน้อยที่สุด 
      2. ก้านหางต้องแคกยิ่งมากยิ่งดี ถ้าเป็น Delta ต้องแตก 4 เป็นอย่างน้อย ถ้าเป็น Super Delta หรือ halfmoon ต้องแตก 8 หรือ 16 ก้าน จีงจะมีโครงสร้างที่ดี ก้านหางจะทำให้หางที่ใหญ่ ทรงตัวอยู้ได้ ไม่ย้วย หรือ พับง่าย ก้านกระโดงก็เหมือนกัน อาจจะแตกเป็น 2 ก้าน หรือ มากถึง 4 ก้านดังปลาในรูป สำหรับชายน้ำ จริง ๆ แล้วถ้าแคกมากเกินไปจะไม่สวย เพราะทำให้ชายน้ำไม่เป็นเส้นตรง จะยาวเกินทำให้ย่น เหมือนผ้าม่านที่ เป็นลอน แต่โดยธรรมชาดิ ถ้าก้านหางแตกมาก จะแตกทุกส่วนทั้ง หาง ชายน้ำ และกระโดง 
      3. เลือกตัวที่ใหญ่ แข็งแรง ชอบทำหวอด 

การเลือกปลาเพศเมีย 
  การคัดเลือกปลาตัวเมีย มีความสำคัญ และ ละเอียดอ่อน มากกว่าการเลือกตัวผู้ ลูกที่ได้จะดีขึ้น หรือ แย่ลง ก็ขี้นอยู่กับ ฝีมือการเลือกตัวเมีย เนื่องจากตัวเมีย ดูยากนั่นเอง ลายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ต้องลองหมั่นฝึกสังเกต จากประสบการณ์ และ การทดลอง 
      1. ดูจากตัวผู้ในครอกนั้น ให้คัดตัวเมียในครอกที่มีเปอร์เซนต์ตัวผู้สวยมาก มาทำแม่พันธุ์ 
      2. คัดตัวที่หางใหญ่ กระโดงยาว ชายน้ำกว้าง แต่ไม่ควรเลือกตัวเมียที่มีลักษณะคล้าย ตัวผู้ คือ มี หาง และ กระโดงใหญ่มาก ผิด ปกติ พวกนี้ จะดุ และ แข็งแรงมาก โอกาสที่จะทำร้ายตัวผู้ มีมาก และ มีเปอร์เซนต์ ความล้มเหลวสูง ถ้าผสมได้ลูก ลูกที่ได้ ก็ไม่มีลักษณะโดดเด่นไปกว่าปกติ อย่างใด นี่เป็นประสบการณ์ ของเพื่อนในต่างประเทศ ที่ถ่ายทอดให้ฟัง 
      3. เลือกตัวเมียที่ก้านหางแตกมาก ไม่ว่าเป็น หาง กระโดง หรือ ชายน้ำ หางต้องแตก 4 ก้านเป็นอย่างน้อย แต่มีบางตัว ที่แตกถีง 8 ก้าน แต่ไม่พบบ่อยนัก กระโดง และ ชายน้ำ ถ้าแตก 2 ก้านได้ยิ่งดี 
      4. เลือกขนาดของตัวเมีย ให้เหมาะสมกับพ่อพันธุ์ ไม่ใหญ่กว่า หรือ เล็กเกินไป กับ ตัวผู้ แม่พันธุ์ที่แข็งแรงควรมีอายุระหว่าง 3-7 เดื่อน สำหรับปลาจีน ส่วนปลากัดหม้อควรมีอายุ 4-5 เดือนขี้นไปบางครั้ง ปลาทั้งครอก เลือกเอาไว้ทำพันธุ์ 2-3 ตัว ที่เหลือทิ้ง หรือทิ้งทั้งครอก เป็นเรื่องธรรมดา ของนักเพาะพันธุ์ สำหรับมือใหม่ หากว่าเพาะปลาครอกแรก ไม่ได้ลูกปลาอย่างที่จินตนาการไว้ อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะส่วนใหญ่ จะ สร้างความคาดหวังไว้เกินความจริง พอลองเพาะได้สัก 2- 3 ครอก จะเริ่มเรียนรู้ว่า ปลาทั้งครอก มีทั้งตัวที่สวยและไม่สวย ลักษณะของ พ่อพันธุ์ และ แม่พันธุ์ จะให้ ลูกที่มีเปอร์เซนต์ สวย และไม่สวย อย่างไร เท่าไร สิ่งเหล่านี้ ต้องอาศัย ความช่างสังเกต และ ประสบการณ์การทดลอง ในปัจจุบันสามารถที่จะผสมพันธุ์ปลาได้ตลอดปี โดยอุณหภูมิน้ำควรอยู่ระหว่าง 26 - 28 องศาเซลเซียส ปลาที่นำมาทำการเพาะพันธุ์ ควรมีอายุตั้งแต่ 3-7 เดือน โดยปลาจะวางไข่ครั้งละประมาณ 500 - 1,000 ฟอง ในฤดูผสมพันธุ์จะสังเกตเห็นความสมบูรณ์เพศของปลาได้ชัดเจน

การขุนปลากัดคราวเทล



1. เพาะอนุบาล แตกต่างกับปลากัดทั่วไปหรือเปล่า?? เห็นว่าให้ดีควรเป็นน้ำกระดาง ไงหว่า เห็นคุณต้นว่าน้ำใส่เกลือก็ OK การเพาะ crowtail มันไม่ต่างอะไรกันมาก จากการเพาะปลากัดชนิดอื่นครับ เทคนิคเหมือนกันครับ แต่การต่อยอดที่ดี ผมอยากให้ทุกคนคำนึงถึงอายุของปลาด้วยครับ 3เดือนครึ่งไปแล้วกำลังดี อย่าไปเร่งเขาเกินไป เราควรให้เวลาลูกปลาได้เป็นปลาผู้ใหญ่ ให้เขาได้ขยายฟอร์มสักหน่อย จะได้พิจารณาความสวยได้ชัดเจน มันส่งผลความเป็นไปได้ หรือความหน้าจะเป็น ของลูกปลาในชุดต่อไปครับ(แต่ปรกติผมใช้ปลาแก่ ปลดประจำการจากสนามประกวดนะครับ)
      อาหารที่ใช้ในการอนุบาลลูกปลา ควรเน้นโปรตีนที่สูง (ผมเลี้ยงไรจืด + เต้าหู้ไข่หลอดครับ ได้เทคนิคมาจากพวกปลาทองครับ)ไม่จำเป็นต้องให้เยอะ เอาแค่พอดีกินครับ แต่ให้บ่อยหน่อย ส่วนคุณภาพของน้ำ เท่าที่เคยเอาข้อมูลตัวอย่างน้ำ (ไปตักเอาน้ำจากเหลี่ยมที่เขาเลี้ยงปลาที่ อินโดมาเลย ส่งให้กรมประมงของไทย เมื่อ3ปีก่อน) มาเปรียบเทียบแร่ธาตุต่างๆ กันต่างกันไม่มากนะครับ ถ้าเป็นน้ำทางนครปฐมพอดีเลย แต่ต้องผ่านเครื่องกรองหน่อยนะเพื่อความปลอดภัย...... ส่วนน้ำกรุงเทพ ขอให้ตีออกซิเจน และใส่เกลือกระสอบ สมุทรสาคร ซักหน่อย ก่อนล่วงหน้าใช้งาน ซัก12-24ชม. ส่วนเรื่องเครื่องกรอง จำเป็นไหม ก็ขึ้นอยู่กับหัวจ่ายประปาของแต่ละพื้นที่ครับ แต่ที่บ้านผมไม่ได้ใช้นะ
     1.2 แยกปลาขึ้นเหลี่ยมเมื่ออายุได้เท่าไหร่ครับ หรือต้องมีการแยกขุนให้ได้ขนาดปลาก่อนขึ้นฟอร์มครับ
     1.3 ฟอร์มปลายุ่งยากไมครับ ทำไงให้ออกมาดูดีที่สุดครับ
     1.4 อาหารที่น่าจะเหมาะควรเป็นอะไรครับ หนอนแดงได้เปล่าครับ
     1.5 อื่นๆ... ที่ไม่ทราบ
     
     2. แยกปลาขึ้นเหลี่ยมเมื่ออายุได้เท่าไหร่ครับ หรือต้องมีการแยกขุนให้ได้ขนาดปลาก่อนขึ้นฟอร์มครับ พี่chiw ผมว่า มันสูตรใคร ก็สูตรมันครับ ..... แต่สำหรับต้น ยังยืนยันคำเดิมนะครับ สำหรับการเลี้ยงปลากัดหางยาวเพื่อการประกวด ทั้งอาฟมูล และ คราวเทล ต้นจะเลี้ยงในบ่อ แบบไม่แน่มาก เลี้ยงให้อ้วนไปก่อน เพื่อให้ขนาดลำตัวได้ตามต้องการ แล้วเอาขึ้นมาเด้งหางทีหลังครับ เพื่อลดปริมาฌงานครับ และลูกปลาจะแข็งแรงกว่าเยอะครับ ...... เพราะถ้าผมเอาขึ้นตั้งแต่เล็ก มันก็จะได้แค่ฟอร์ม แต่ไม่ได้ขนาดครับ เปลี่ยนน้ำกันที ตายแน่ๆครับ
     เกลือมีส่วนผสมของแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูก หรือหนามให้แข็งแรงขึ้น (ห้ามใช่เกลือที่ปรุงอาหารนะครับ มันมีส่วนผสมของ สารไอโอดีน อาจทำให้แก้วตาของปลาเสียได้ครับ) .... และช่วยในเวลาอากาศเปลี่ยนแปลงปลาหางไม่หลีบด้วยครับ สรรพคุณของยาของเกลือ ช่วยกำจัดสิ่งเชื้อโรคต่างๆ ภายนอกตัวปลาครับ ปรกติ ผมใส่น้ำประปา ลงตู้ 24นิ่ว ใส่เกลือ5-6ช้อนโต๊ะ (แต่ถ้าเป็นหน้าฝน ผมจะหยอด น้ำยาเฟอมาลิน เข้าไปด้วยอีก 2CC นะครับ) ตีออกซิเจนไปอีก 12ชมอย่างน้อยครับ ปลา crowtail ก็เลี้ยงเหมือนปลา hmครับ น้ำเลี้ยงควรผสมน้ำใบหูกวางนิดหน่อยครับ แล้วจะดี ไปจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำทุกวัน แต่ดูดขี้ปลา เติมน้ำใหม่ครับ.... แต่แนะนำให้ล้างสะอาดเหลี่ยมทุกอาทิตย์ครับ ลดปัญหาพวกเชื้อโรคครับ..... เทคนิคการเปลี่ยนน้ำควรเลือกเวลาที่ไม่มีพระอาทิตย์บนท้องฟ้า จะดีที่สุดครับ ตอนเช้า หรือค่ำก็ได้ครับ

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556


การ ... ตี หรือ เป่า ... “ อาร์ทีเมีย ”  เครดิตโดยคุณ Aiyara จาก siamranchuclub.


1.   อุปกรณ์ 

อุปกรณ์ในการ … ตี หรือ เป่า ... “ อาร์ทีเมีย ” ของกระผม ..... มีดังนี้ครับ
A   =   ขวดน้ำขนาด 6 ลิตร แบบมี “ จุกกดน้ำ ” ... ตรา COOLY FRESH ... ( มีจำหน่ายที่ 7 - 11 )   โดยนำมาทำการ ... ตัดก้นขวดน้ำออก 1 ช่อง 
B   =   ขาตั้งเหล็ก ( วางกระถางต้นไม้ ) ... เนื่องจากที่บ้านมีอยู่แล้วครับ ( แต่หาซื้อสำเร็จได้จากร้านขายอุปกรณ์การเกษตรฯ )     แต่ท่านสามารถใช้ “ ท่อ PVC หรือ วัสดุอื่นๆ ” มาดัดแปลงทำแบบง่ายๆก็ได้ครับ
C   =   อาร์ทีเมีย ( กระป๋อง ) /    ถ้วยตวง /    ช้อนชา
D   =   เกลือ
E   =   หัวทราย - ปั๊มลม
F   =   กระชอน /   สายยาง ( ลม ) /   ขันน้ำ

2.   ติดตั้งอุปกรณ์ – การเตรียมน้ำ ( เกลือ )  
เมื่ออุปกรณ์พร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลยครับ    แต่ก่อนจะเริ่มทำ   ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ให้เรี่ยมก่อนครับ
A   =   นำ “ ขวดน้ำ ” มาวางลงใน “ ขาตั้งเหล็ก ”    โดยวางในลักษณะ “ คว่ำหัวลง ”
B   =   ใส่ “ หัวทราย ” ลงไปที่ก้นขวด ( ยังไม่เปิดลม )
C   =   เตรียม “ เกลือ ” ปริมาณ ... 1 อุ้งมือเต็มๆ ...
D   =   ใส่เกลือลงไปในขวดน้ำ
E   =   เติมนำสะอาดลงไป
F   =   ปริมาณน้ำที่ใส่ลงไป    จะอยู่ประมาณ 4 ลิตรครึ่ง ( หรือ ... ถ้าดูจากขวดน้ำ COOLY FRESH … ความสูงของน้ำจะเลยพ้นมา 1 ช่อง   จากแถบแสดงชื่อสินค้า )
 3.   การเตรียมน้ำ ( เกลือ ) – การ ... ตี หรือ เป่า ... “ อาร์ทีเมีย ” / 1  A   =   เปิดลมให้เต็มที่    ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ( เพื่อให้ ... น้ำ + เกลือ ... ผสมให้เข้ากันจนเข้าที่ )
B   =   ในช่วงที่รอให้ ... น้ำ + เกลือ ... ผสมให้เข้ากัน    ก็มาทำการเตรียม “ ไข่อาร์ทีเมีย ”
C   =   ส่วนตัวกระผมใช้ “ ช้อนชา ”   โดยตักให้ ..... เต็มพอดีช้อน
D   =   จากนั้นนำมาเทใส่ “ ถ้วยตวง ”    ซึ่งกระผมใช้ ..... 5 ช้อนชา / การตี 1 ครั้ง    
E   =   เมื่อผ่านไปประมาณ 15 นาที    จึงทำการ “ ปิดลม ”    โดยสังเกตุว่า ... น้ำ + เกลือ ... ที่ผสมกันดีแล้ว   จะดูมีลักษณะที่ใสขึ้น ( เมื่อเปรียบเทียบกับภาพข้อ 2 E )
F   =   ค่อยๆเท “ ไข่อาร์ทีเมีย ” จากถ้วยตวงลงไป   ช่วงแรกจะสังเกตุว่า “ ไข่อาร์ทีเมีย ”    จะลอยอยู่บนผิวน้ำเป็นจำนวนมากกว่าที่จมลงในน้ำ
                                     
4.   การ ... ตี หรือ เป่า ... “ อาร์ทีเมีย ” / 2  A   =   ขั้นตอนต่อไปก็ใช้ “ ช้อนชา ” ….. ค่อยๆคนเบาๆสักครู่
B   =   จะเห็นว่า “ ไข่อาร์ทีเมีย ” เกือบจะทั้งหมด    ได้จมลงในน้ำเป็นที่เรียบร้อย
C   =   จากนั้นจึงเปิดลมให้เต็มที่ ( ถ้าเปิดลมในขณะที่เท “ ไข่อาร์ทีเมีย ”    จะทำให้ “ ไข่อาร์ทีเมีย ” กระเด็นจนเลอะเทอะ )
D – E   =   เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ในขั้นตอนการ ... ตี หรือ เป่า ... “ อาร์ทีเมีย ”    
Reamrk : กระผมจะ ... ตี หรือ เป่า ... “ อาร์ทีเมีย ”    เป็นจำนวน 2 ชุด / วัน    โดยเตรียมห่างกันชุดละประมาณ 6 – 8 ชม.    ยกตัวอย่าง คือ
4.1   =   ชุดที่ 1 เตรียมตอน 08:00 น. ของวันที่ 1 / จะนำมาใช้ตอน ... ช่วงบ่ายของวันที่ 2 
4.2   =   ชุดที่ 2 เตรียมตอนประมาณ 14:00 น. ของวันที่ 1 / จะนำมาใช้ตอน ... ช่วงเช้าของวัน 3
                                     
5.   ขั้นตอนการนำเอา “ อาร์ทีเมีย ” มาใช้เลี้ยง “ ลูกปลา ” / 1
  
หลังจากผ่านไปประมาณ 24 – 30 ชม.ขึ้นไป   อาร์ทีเมียที่ถูกเตรียมไว้นั้น    ก็จะฟักเป็น “ ตัว ” และพร้อมนำมาใช้เลี้ยงลูกปลา .....    มาติดตามขั้นตอนการนำไปใช้ต่อไปได้เลยครับ
A   =    ปิดลม - ยกหัวทรายออกจากขวดน้ำ .....   จากนั้นก็นำ “ วัสดุทึบแสง ” ทั่วๆไปที่พอหาได้    มาปิดไว้รอบๆขวดน้ำเพื่อกันแสง    แต่จะเปิดเว้นเนื้อที่บวิเวณส่วนหนึ่งให้โดนแสงไว้    เพื่อบริเวณที่โดนแสงนั้น   เป็นพื้นที่รวมตัวกันของ “ อาร์ทีเมีย ”  
B   =   เมื่อ “ ปิดพื้นที่กันแสง ” และ “ เปิดพื้นที่รับแสง ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   ก็รอประมาณ 15 – 20 นาที   เพื่อให้ “ อาร์ทีเมีย ” ไปรวมตัวกันตรงพื้นที่รับแสง   
C   =   หลังจาก 15 – 20 นาทีผ่านไป ... ตัว “ อาร์ทีเมีย ” ก็จะรวมตัวกันตรงพื้นที่รับแสงที่เปิดไว้    โดยจะอยู่แยกจากส่วนของ “ เปลือกไข่ ” ที่ปริมาณส่วนมากจะลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ      
D   =   เตรียม ... กะละมัง ( ใบเล็กๆ ) + กระชอน ... เพื่อกรองเอา “ ตัวอาร์ทีเมีย ” กับแยกเอา “ เปลือกไข่ ” ออกจากกันอีกครั้งหนึ่ง
E   =    เมื่อทุกอย่างเข้าที่ก็ “ กดจุกปล่อยน้ำ ” ได้เลย    ว้าวววว! ... แดง ... ดีจริงๆ
F   =    หยุดการ “ กดจุกปล่อยน้ำ ” เพื่อมิให้ “ เปลือกไข่ ” หลุดปนออกมา … โดยให้สังเกตุระดับน้ำตอนที่ใกล้จะหมดขวด   จะเห็นเปลือกไข่ลอยรวมกันอยู่ที่ผิวน้ำเป็นจำนวนมาก    ส่วนของ “ เปลือกไข่ ” ตรงจุดนี้ไม่ต้องปล่อยออกมานะครับ
ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ ..... ในที่สุดก็จะได้ “ อาร์ทีเมีย ” ไปใช้ในการเลี้ยงลูกปลา    ซึ่ง “ อาร์ทีเมีย ” ที่อยู่ในกะละมังนั้น    จะยังคงมีเปลือกไข่ปนอยู่ด้วย     แต่ก็มีในปริมาณที่น้อยพอสมควร    ทำให้การนำไปใช้ต่อไปค่อนข้างสะดวก    และค่อนข้างจะสะอาดในระดับหนึ่ง    ส่งผลให้น้ำในอ่างเลี้ยงลูกปลาไม่สกปรกไวเกินไป
ส่วน “ ขวดน้ำ ” ที่ใช้เสร็จแล้ว    ก็นำไปล้างให้สะอาด   จากนั้นก็ทำการ ... ตี หรือ เป่า ... “ อาร์ทีเมีย ” ไว้ใช้ในรอบต่อไปครับ 
                                    
6.   การเลี้ยงอาร์ทีเมีย  

หลังจากนำ “ อาร์ทีเมีย ” ออกมาจากขวดน้ำลงสู่กะละมังแล้ว    
-   ถ้านำมาใช้เลี้ยงลูกปลาทันที   ก็ปล่อยทิ้งไว้อีกสัก 15 นาทีขึ้นไป   เพื่อที่ตัว “ อาร์ทีเมีย ” จะว่ายมารวมกัน    ทำให้ง่ายต่อการดูดนำเอาไปใช้เลี้ยงลูกปลา ( ตามภาพ B )
-   แต่ถ้า ... ใช้ไม่หมด หรือ ยังไม่ได้นำไปใช้เลี้ยงลูกปลาทันที ...    ก็นำหัวทรายเป่าลมลงไปก่อน   ซึ่งจะอยู่ได้อีก 24 - 48 ชม. ( ตามภาพ A )                                   

                                    

7.   การดูดเอาตัว “ อาร์ทีเมีย ” ไปใช้เลี้ยงลูกปลา  

หลังจากที่ “ อาร์ทีเมีย ” ถูกปล่อยพักไว้ในกะละมังแล้ว   โดยทั่วไปก็จะใช้กระชอนช้อนตักไปให้ลูกปลากินได้เลยครับ
แต่! …..เนื่องจากกระผมเองมี … เวลามาก … ในการเตรียมเรื่องของอาหารปลา    ผนวกกับปริมาณการตีอาร์ทีเมียของกระผมก็ใช้มากอยู่พอสมควร   
ดังนั้น ... กระผมจึงใช้ “ สายยาง ” ดูดเฉพาะตัว “ อาร์ทีเมีย ” ออกมาอีกครั้ง ( สุดท้าย )
เพราะ “ เศษสิ่งสกปรก ” ที่ปะปนอยู่ในน้ำนั้น   ถึงแม้ว่าจะถูกการกลั่นกรองมาแล้วก็ตาม    ก็ยังคงมีอยู่    ซึ่งถ้ากระผมใช้กระชอนตักตัวอาร์ทีเมียไปใช้เลยนั้น    เศษสิ่งสกปรกที่จมอยู่ตรงพื้นกะละมัง   ก็จะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่น    ส่งผลให้การตักในครั้งต่อไป    รู้สึกลำบากใจนิดนึง

A   =   หลังจาก 15 นาทีขึ้นไป   ตัว “ อาร์ทีเมีย ” ก็จะว่ายมารวมกลุ่มกัน   จึงเป็นการง่ายในการใช้ “ สายยาง ” ดูดเอาตัว “ อาร์ทีเมีย ” มาใช้เลี้ยงลูกปลา
B   =   ใช้สายยางดูดเอาตัว “ อาร์ทีเมีย ”    โดยมี “ ขันน้ำ ” มารองรับ
C   =   เมื่อดูดจนเกือบเต็มขันน้ำก็จะได้เช่นนี้ ^_^
D   =   เตรียมกระชอนตัก    จากนั้นก็ ... ลั้นลา! … นำไปให้ลูกปลากินได้เลยครับ       

                                                  
















































วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วัสดีครับ สำหรับบร็อคนี้ผมสร้างขึ้นมาเพื่อการอนุรักษ์ปลากัดไทย สายพันธุ์ต่าง ๆ
สำหรับผู้ที่ต้องการความรู้และติดตามตลาดปลากัดสวยงามของบ้านเรา









สายพันธุ์ปลากัด[แก้]

ปลากัดจีน[แก้]

เป็นชื่อที่ใช้เรียกปลากัดครีบยาวมาช้านาน เข้าใจว่าอาจมาจากลักษณะครีบที่ยาวรุ่ยร่ายสีฉูดฉาดเหมือนงิ้วจีน ปลากัดจีนเป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากปลาลูกหม้อ โดยผสมคัดพันธุ์ให้ได้ลักษณะที่มีครีบและหางยาวขึ้น ความยาวของครีบหางส่วนใหญ่จะยาวเท่ากับ หรือมากกว่าความยาวของลำตัวและหัวรวมกัน และมีการพัฒนาให้ได้สีใหม่ ๆ และสวยงาม โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวไทย ซึ่งได้พัฒนาสายพันธุ์สำเร็จมาช้านาน ก่อนที่ปลากัดจะถูกนำไปเลี้ยงในต่างประเทศ แต่ไม่มีการบันทึกไว้ว่า การพัฒนาปลากัดสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ปลากัดชนิดนี้เป็นชนิดที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามแพร่หลายไปทั่วโลก และได้มีการนำไปพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่อง จนได้สายพันธุ์ที่มีลักษณะใหม่ ๆ ออกมาอีกมากมาย

ปลาป่าหรือปลากัดลูกทุ่ง[แก้]

เป็นปลากัดที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติ ตามท้องนา และหนองบึง เป็นปลาขนาดเล็กที่ไม่มีลักษณะเด่นมากนัก ส่วนมากครีบ และหางมีสีแดงเกือบตลอด มีประสีดำบ้างเล็กน้อย บางทีอาจมีแต้มสีเขียวอ่อน ๆ เรียงต่อกันเป็นเส้นสีเขียว ๆ ที่ครีบหลัง เวลาถอดสี ทั้งตัวและครีบจะเป็นสีน้ำตาลด้าน ๆ คล้ายใบหญ้าแห้ง ในปัจจุบันคำว่า "ปลาป่า" หมายความรวมถึงปลากัดพื้นเมืองภาคอีสาน และปลากัดพื้นเมืองภาคใต้ด้วย

ปลาสังกะสี และ ปลากัดลูกหม้อ[แก้]

เป็นปลากัดที่นักเพาะพันธุ์ปลาได้นำมาคัดสายพันธุ์ โดยมุ่งหวังจะได้ปลาที่กัดเก่ง จากบันทึกคำบอกเล่าของหลวงอัมรินทร์สมบัติ (ครอบ สุวรรณนคร) ซึ่งเป็นนักเลงปลาเก่าเชื่อว่า ปลาสังกะสีและปลาลูกหม้อน่าจะได้รับการพัฒนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2430 โดยท่านจำได้ว่าก่อนหน้านั้นยังต้องจับปลาป่ามากัดพนันกันอยู่ ต่อมานักเลงปลาบางคนก็เริ่มใช้วิธีไปขุดล้วงเอาปลาป่าที่อาศัยอยู่ตามรูปูในฤดูแล้ง มาขังไว้ในโอ่ง และเลี้ยงดูให้อาหาร พอถึงฤดูฝน ก็นำมากัดพนันกับปลาป่า ซึ่งส่วนใหญ่จะสู้ปลาขุดที่นำมาเลี้ยงไว้ไม่ได้ การเล่นปลาขุดยังนิยมเล่นกันมาถึงประมาณ พ.ศ. 2496 หลังจากนั้นก็มีการเก็บปลาที่กัดเก่งเลี้ยงไว้ข้ามปี และหาปลาป่าตัวเมียมาผสม ลูกปลาที่ได้จากการผสมในชุดแรกเรียกว่า "ปลาสังกะสีสีแดง" หรือ "ปลากัดสังกะสี" ปลาสังกะสีที่เก่ง อดทน สวยงาม ก็จะถูกคัดไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ เมื่อผสมออกมาในชุดต่อไป จะได้ปลาที่เรียกว่า "ปลาลูกหม้อ" หรือ "ปลากัดหม้อ"
ที่เรียกว่า ปลาสังกะสี สันนิษฐานว่าน่าจะได้ชื่อมาจากผิวหนังที่หนาแกร่ง ไม่ขาดง่ายเมื่อถูกกัดเหมือนปลาป่า ปลาสังกะสีมักจะตัวใหญ่ มีสีสันลักษณะต่างจากปลาป่า แต่ส่วนมากมีชั้นเชิงและความอดทนในการกัดสู้ปลาลูกหม้อไม่ได้
ส่วนที่เรียกว่า ปลาลูกหม้อ นั้น น่าจะมาจากการนำหม้อดินมาใช้ในการเพาะและอนุบาลปลากัดในระยะแรกๆ ปลาลูกหม้อจึงเป็นปลาสายพันธุ์ที่สร้างมาโดยนักเลงปลาทั้งหลาย เพื่อให้ได้ลักษณะที่ดีสำหรับการต่อสู้ และมีสีสันที่สวยงามตามความพอใจของเจ้าของ ปลาลูกหม้อมีรูปร่างหนาใหญ่กว่าปลาป่าและปลาสังกะสี ส่วนมากสีจะเป็นสีน้ำเงิน สีแดง สีเทา สีเขียว สีคราม หรือสีแดงปนน้ำเงิน ครีบหางอาจเป็นรูปมนป้าน หรือรูปใบโพธิ์ การเล่นปลากัดในสมัยก่อนนั้น ปลาลูกหม้อแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ "ลูกแท้" และ "ลูกสับ" ลูกแท้หมายถึง ลูกปลาที่เกิดจากพ่อแม่ที่มาจากครอกเดียวกัน ส่วนลูกสับหมายถึง ลูกปลาที่เกิดจากพ่อแม่ที่มาจากต่างครอกกัน

ปลากัดหางสามเหลี่ยม หรือ ปลากัดเดลตา (Delta)[แก้]

เป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากปลากัดครีบยาว หรือปลากัดจีน โดยพัฒนาให้หางสั้นเข้าและแผ่กว้างออกไปเป็นรูปสามเหลี่ยม ขอบครีบหางกางทำมุม 45 - 60 องศา กับโคนหาง และต่อมาได้พัฒนาให้ครีบแผ่ออกไปกว้างมากยิ่งขึ้น เรียก "ซูเปอร์เดลตา" ซึ่งมีหางแผ่กางใหญ่กว่าปกติ จนขอบครีบหางด้านบนและล่างเกือบเป็นเส้นตรง

ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีก หรือ ฮาล์ฟมูน (Halfmoon)[แก้]

เป็นปลากัดที่มีหางแผ่เป็นรูปครึ่งวงกลม โดยขอบครีบหางจะแผ่เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันเป็นมุม 180 องศา ได้มีแนวคิดและความพยายามในการที่จะพัฒนาปลากัดสายพันธุ์นี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ในประเทศเยอรมนี แต่เพิ่งประสบผลสำเร็จเมื่อราว พ.ศ. 2530 โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวฝรั่งเศสและชาวเยอรมัน ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีกมีลักษณะที่สำคัญ คือ ครีบหางแผ่เป็นรูปครึ่งวงกลม โดยขอบครีบด้านหน้าจะแผ่เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันเป็นมุม 180 องศา ครีบด้านนอกเป็นขอบเส้นโค้งของครึ่งวงกลม ก้านครีบหางแตกแขนง 2 ครั้ง เป็น 4 แขนง หรือมากกว่า ปลาที่สมบูรณ์จะต้องมีลำตัวและครีบสมส่วนกัน โดยลำตัวต้องไม่เล็กเกินไป ครีบหางแผ่ต่อเนื่องหรือซ้อนทับกับครีบหลังและครีบก้น จนเห็นเป็นเนื้อเดียวกัน ขอบครีบหลังโค้งมนเป็นส่วนหนึ่งของวงกลม เส้นขอบครีบทุกครีบโค้งรับเป็นเส้นเดียวกัน (ยกเว้นครีบอก) ปลายหางคู่ที่แยกเป็น 2 แฉกจะต้องซ้อนทับและโค้งมนสวยงาม ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีกที่แท้จริงจะต้องมีขอบครีบหางแผ่ทำมุม 180 องศา ได้ตลอดไป ถึงแม้ปลาจะมีอายุมากขึ้นก็ตาม

ปลากัดหางมงกุฎ หรือ ปลากัดคราวน์เทล (Crowntail)[แก้]

เป็นปลากัดที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นใน พ.ศ. 2543 โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวสิงคโปร์ เป็นปลากัดสายพันธุ์ใหม่ที่มีหางจักเป็นหนามเหมือนมงกุฎ และเป็นสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมเลี้ยงกันมากในปัจจุบัน ลักษณะสำคัญของปลากัดชนิดนี้คือ ก้านครีบจะโผล่ยาวออกไปจากปลายหาง ลักษณะดูเหมือนหนาม ซึ่งอาจยาวหรือสั้นแตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกับลักษณะการแยกของปลายหนาม และการแยกการเว้าโคนหนามก็มีหลายรูปแบบ ปลากัดหางมงกุฎที่สมบูรณ์จะมีครีบหางแผ่เต็มซ้อนทับได้แนวกับครีบอื่น ๆ และส่วนของหนามมีการจัดเรียงในรูปแบบที่สวยงามสม่ำเสมอ

ปลากัดประเภทอื่น[แก้]

นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีปลากัดประเภทอื่น ๆ เช่น "ปลากัดเขมร" ที่ใช้เรียกปลากัดที่มีสีลำตัวเป็นสีอ่อนหรือเผือก และมีครีบสีแดง "ปลากัดหางคู่" ซึ่งครีบหางมีลักษณะเป็น 2 แฉก อาจแยกกันอย่างเด็ดขาด หรือที่ตรงโคนยังเชื่อมติดกันอยู่ก็ได้ รวมทั้งปลากัดที่เรียกชื่อตามรูปแบบสี เช่น "ปลากัดลายหินอ่อน" และ "ปลากัดลายผีเสื้อ